เปลี่ยนความคิด ชีวิตเปลี่ยนไป
จากที่ผมเป็นนักบัญชี อยู่ๆก็ผันตัวเองมาทำบริษัทซอฟต์แวร์จากความคิดเดียวที่อยู่ในหัวสมองในวันนั้นคือต้องการให้คนไทยทำบัญชีด้วยคอมพิวเตอร์ ผมไม่ได้มองที่เงินเป็นตัวตั้งเพราะตอนนั้นผมอายุเพียง 29 ปี ผมยังสนุกกับการทำงานไม่ได้คิดที่อยากจะมีเงินทองมหาศาล ความมีหน้ามีตาในสังคม หรือความร่ำรวยแต่อย่างใดเพราะช่วงนั้นก็เป็นวัยรุ่นตอนปลาย ผมต้องการเพียงแค่หารายได้เลี้ยงครอบครัวเท่านั้นไม่ได้แสวงหาความร่ำรวยแต่อย่างใดเพราะชีวิตความเป็นอยู่ในตอนนั้นก็ดีกว่าเมื่อก่อนมากมาย มีความสุขกายสบายใจ เงินทองที่หามาได้มีเหลือเก็บพอประมาณเพราะจำได้ว่าเมื่อตอนอายุ 27 เคยมีรายได้จากการเป็นที่ปรึกษาทางด้านบัญชีวันละหนึ่งหมื่นบาท ทำให้ก่อนที่จะมาเปิดบริษัทซอฟต์แวร์มีเงินเก็บจากการออมสักประมาณ 2 ล้านกว่าบาทแล้ว
จากเด็กบ้านนอกคนหนึ่งที่ไม่มีประสบการณ์ในการดำเนินธุรกิจแต่ดันทะลึ่งมาทำธุรกิจซอฟต์แวร์ซึ่งเป็นเรื่องใหม่ของคนไทยในสมัยนั้น ด้วยความที่ขาดประสบการณ์ในอาชีพนี้ เงินที่เก็บออมมาตลอด อาชีพนักบัญชีทีได้นำมาลงทุนที่บริษัท โปรซอฟท์ คอมเทค จำกัดประมาณสองล้านบาทได้หายไปภายในไม่ถีงสองปี "ผมเจอสองแรงบวกคือความอ่อนด้อยประสบการณ์และวิกฤติเศรษฐกิจปี 2540 พอดีแบบมาถูกที่ถูกเวลาเลย เพราะเปิดบริษัทปลายปี 38 ปี 39 จ้างงานเกือบ 20 ตำแหน่ง พอปี 40 เป็นต้นมาเพิ่มขาดสภาพคล่องอย่างมาก
ต้องยอมรับความเป็นจริงว่าตลอดเวลาการได้มีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ไม่มีครั้งไหนเลยที่มีชีวิตที่ลำบากยากเย็นแสนสาหัสเท่ากับช่วงเวลาปี 2540 - 2542 อีกแล้ว จำได้ว่าเมื่อตอนเป็นเด็กที่บ้านน้ำท่วมไม่มีข้าวจะกิน มีความเป็นอยู่ด้วยความลำบากมากแต่ก็ไม่มีครั้งไหนเท่าวิกฤติเศรษฐกิจครั้งนี้ ผมได้สูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตไม่ว่าจะเป็นที่อยู่อาศัย อาคารสำนักงานที่ซื้อไว้ มีอยู่สิ่งเดียวที่ผมไม่เคยสูญเสียเลยแม้แต่ครั้งเดียวคือกำลังใจ ผมมีกำลังใจอย่างดียิ่ง ผมสร้างกำลังใจให้กับตัวเองตลอดเวลา ผมมีแรงบันดาลใจอันยิ่งใหญ่อยู่เสมอ ผมคิดว่าสักวันหนึ่งผมจะต้องลุกขึ้นมาให้ได้ ผมคิดอยู่เสมอว่าคนเราเลือกเกิดไม่ได้แต่เลือกที่จะเป็นได้ เราจะต้องสู้ไม่ถอยสู้ยิบตา ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ขอให้มีจิตใจที่เข้มแข็งก็เพียงพอแล้ว
บทความโดย : คุณวิโรจน์ เย็นสวัสดิ์ | Facebook