ภาพยนตร์ The Blind Side มีเสน่ห์ตรงที่นำเรื่องจริงของ Michael Oher (ไมเคิล ออร์) นักอเมริกันฟุตบอลผิวดำของทีม Baltimore Ravens ซึ่งนักข่าวกีฬา ยกย่องในความสามารถของเขา และชื่นชมที่เขาไม่มีปัญหาเรื่องนอกสนามอีกด้วย (เป็นคุณสมบัติของยอดนักกีฬาที่พึงมี) ไมเคิลไม่เคยมีข่าวด้านลบออกมาเลย ไม่น่าเชื่อว่าผู้ที่เกิดมาในมุมมืด สภาพครอบครัวที่ย่ำแย่ อยู่ในแหล่งสลัมของคนผิวดำที่ยากจน รายล้อมไปด้วยเด็กเกเรติดยา ใช้ความรุนแรง แถมแม่ก็ติดยา
งอมแงม ตัวเขาจึงต้องเข้า ๆ ออก ๆ สถานสงเคราะห์ บ้านโน้นบ้านนี้ไปเรื่อย ไม่มีแหล่งพักพิงถาวร ไม่มีประวัติและใบรับรองการมีตัวตน เป็นคนไร้ค่าคนหนึ่ง จะมีจิตสำนึกที่ดีได้ภายใต้สังคมที่เปราะบางขนาดนั้น
The Blind Side จะนำเราไปสู่สิ่งสวยงามที่ทำให้ชีวิตของเด็กคนหนึ่งได้รับการอุ้มชู ดูแล ด้วยความรัก เอื้ออาทร และ โอกาสที่ดีจากความมีน้ำใจของครอบครัวผิวขาวและดึงเขาขึ้นสู่คนที่สำเร็จและสังคมนับถือได้ นอกจากด้านแย่ ๆ ที่เรียกว่า Instinct ซึ่งเด็กเกเรชอบประพฤตินั้น มันยังมีแสงสว่างเล็ก ๆ ในมุมมองของชีวิตพวกเขา นั่นคือสิ่งที่เราเรียกว่าความใฝ่ดีหรือมโนสำนึก (Conscience) ที่อยากเป็นคนดี อยากช่วยเหลือผู้อื่น Michael มี Conscience มากกว่า Instinct ทำให้เราได้เห็นความสวยงามในความเป็นมนุษย์ ชื่อเรื่อง The Blind Side นั้นหมายถึง ด้านที่คู่ต่อสู้จะเข้ามาจู่โจม Quarterback ผู้เล่นที่สำคัญที่สุดในกีฬาในอเมริกันฟุตบอล ซึ่งเขาจะไม่เห็นคนที่มาข้าง ๆ หรือข้างหลัง มันจึงเป็น Blind Side ของเขาโดยหลังจากสแน๊บลูก พวกตัวยักษ์ ๆ จะเข้าตะลุมบอน ทำให้บางครั้งกระดูกหัก แขนหัก ดังนั้นโค้ชจะต้องจัดคนช่วยปกป้องหรือ Offensive Tackle เพื่อคุ้มกันสิ่งที่เขามองไม่เห็น ในพื้นที่ด้านซ้ายเพื่อช่วยปิดมุมมืด และนี่คือที่มาของภาพยนตร์
เรื่องเริ่มจาก Michael เด็กโข่งตัวใหญ่ยักษ์ ที่คนเรียกว่า Big Mike (เขาไม่ชอบที่จะให้ใครมาเรียกเขาแบบนี้) ได้มีโอกาสเรียนที่ Briarcrest Christian School โรงเรียนคริสเตียนชื่อดังของคนผิวขาว เด็กผิวขาวในห้องมองเขาด้วยสายตาแปลก ๆ เหมือนตัวประหลาด เขาไม่มีพื้นฐานในการเรียน ผลการเรียนต่ำจนครูวิชาต่าง ๆ ส่ายหน้า โชคดีที่ครูบางคนพยายามจะหาทางช่วยเขา พยายามจะเข้าใจเขา “จ้องจับถูก” ค้นหาศักยภาพในตัวเขา หาทางเข้าถึงความเป็นตัวตนหรืออัตตลักษณ์ของเขา (Note : เด็กนักเรียนในบ้านเราก็มีปัญหาคล้าย ๆ นี้อยู่จำนวนมาก ผู้ปกครองส่วนใหญ่ก็หวังพึ่งโรงเรียน ไม่มีความรู้ที่จะแก้ปัญหานั้น ๆ ครูจำนวนมากก็มีภารกิจมากเกิน นักเรียนแต่ละห้องมีมาก และบางทีครูเองก็มีปัญหา จนไม่สามารถช่วยได้ ปัญหาไม่ได้รับการคลี่คลาย เมื่อไม่มีใครช่วยแก้ปัญหา เด็กจำนวนมากต้องออกจากโรงเรียน สูญเสียอนาคต ติดยาเสพติด ตั้งครรภ์ก่อนวัย แล้วก็เป็นปัญหาของสังคมต่อไป นี่คือ Blind Side ของสังคมไทย )
Leigh Anne Tuohy สาวนักธุรกิจไฮโซประจำเมือง เจอกับ Michael ในคืนที่เด็กหนุ่มกำลังเดินหาที่ซุกหัวนอนท่ามกลางอากาศหนาวเหน็บ ความมีน้ำใจอยากช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ของ Leigh Anne ในคืนนั้น กลายเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญที่เปลี่ยนแปลงชีวิตของเด็กหนุ่มไร้อนาคต เธอมีความอดทนและพร้อมจะค้นหาศักยภาพของเขา และโชคดีที่คนในครอบครัวเธอทั้ง Sean Tuohy สามีสุดใจดี S.J. Tuohy ลูกชายคนเล็ก ที่รู้สึกยินดีกระดี๊กระด๊ากับการได้พี่ชายสุดซี้มาเป็นคู่หูของตนเอง และ Collins Tuohy ลูกสาวคนโต ที่ไม่ได้รังเกียจความแตกต่างของฐานะ สีผิว ทั้งยังพร้อมยอมรับ Michael ในการเป็นสมาชิกใหม่ เหมือนเป็นพี่ชายคนโต Sean Tuohy จึงเป็นเหมือน Offensive Tackle ปิดจุดบอดตรงนั้นให้กับเด็กหนุ่ม
ขณะเดียวกันครอบครัวของเธอก็ต้องการให้มีคนตัวใหญ่ ๆ แบบนี้มาช่วยเติมเต็ม สร้างความภาคภูมิใจให้ครอบครัว Michael ก็มาช่วยปิด Blind Side เช่นกัน เธอจึงพูดว่าไม่ใช่เธอช่วยเด็กหนุ่ม (เงินทองที่เธอแบ่งปันให้เด็กหนุ่มไม่ได้ทำให้เธอจนลง) แต่เด็กหนุ่มต่างหากที่มาช่วยเติมชีวิตของเธอ ช่วยให้เธอสร้างชีวิตอีกด้าน สร้างความภูมิใจในตัวเอง มันเป็นมุมมองที่ดีมากและเป็นความจริงอย่างที่สุด เมื่อให้เราให้ใคร...เราจะได้อะไรมาในทันทีเด็กผิวดำและคนทั่วไปเชื่อว่าเมื่อมาอยู่ที่บ้าน ลูกสาวคนสวยจะต้องตกอยู่ในภยันตราย สุ่มเสี่ยงต่อเรื่องราวทางเพศจากเด็กผิวดำคนนี้ ครอบครัวอาจไม่ปลอดภัย ไม่ว่าจะเป็นการพาเพื่อนมขโมยของหรือโจรกรรม ซึ่งเราก็ได้เห็นข่าวทำนองนี้ในบ้านเราบ่อย ๆ แต่ Michael มีมโนสำนึกที่มากกว่าความคิดแบบนั้น เสียงเรียกภายในใจเขามันดังกว่าสัญชาตญาณ จึงทำให้เราได้เห็นด้านดีของมนุษย์
ภาพยนตร์ทำให้เห็นว่า การจะดูแลและช่วยเหลือใครให้ยืนขึ้นได้ คงไม่ใช่แค่พาไปทานข้าว ซื้อเสื้อเสื้อผ้าใหม่ ๆ ให้ค่าเล่าเรียน แต่สิ่งสำคัญยิ่งกว่านั้นคือ ความรัก ความอดทน การค้นหาศักยภาพ และความเอาใจใส่ของ Leigh Anne ทำให้เธอเห็นศักยภาพของ Michael ที่เขาเป็นนักปกป้อง คอยป้องกันคนอื่น ๆ เขาได้คะแนนเรื่องนี้ 98 ขณะที่คะแนนด้านการเรียนรู้ต่ำมาก เธอช่วยดึงศักยภาพและช่วยให้เขาได้เติบโตเหมือนที่เราเรียกว่า Empower จน Michael ได้ค้นพบศักยภาพที่มีในตัวเองและนำมาใช้ในกีฬา และเล่นในตำแหน่ง Offensive Tackle ที่จะช่วยปิด The Blind Side ได้ดีที่สุดคนหนึ่ง
มันไม่ใช่เพียงแค่การสังคมสงเคราะห์เท่านั้น แต่มันเป็นการพัฒนาให้เขาได้ลุกขึ้นยืนจากกำลังและความสามารถของตัวเองภาพที่ Leigh Anne เล่านิทานให้เด็กโข่งผู้ซึ่งไม่เคยฟังนิทานมาเลย เป็นภาพที่อบอุ่น ทำให้คิดถึงเด็กอีกมากมายที่พ่อแม่ไม่เคยเล่านิทานทำให้เสียโอกาสดี ๆ นี้ไป ทำให้เด็กไม่สร้างสรรค์ ไม่มีจินตนาการ หลังจากชมภาพยนตร์เรื่องนี้จบก็ทำให้เรามีมุมมองที่ดีต่อสังคม มีความหวัง ความรัก การเอื้ออาทรต่อกัน คณะกรรมการหลาย ๆ สถาบันได้พร้อมใจกันยกย่องและมอบรางวัลมากมายให้กับหนังเรื่องนี้ และบูลล็อค ก็คว้ารางวัลออสการ์ไปได้สำเร็จ หนังเรื่องนี้ถึงได้ทั้งเงินและกล่อง ซึ่งก็เหมาะสมอยู่ไม่น้อย
Credit : อ.ยงยุทธ พีรพงศ์พิพัฒน์ - D4 Consultan